ข่าวไอที Blognone » รีวิว Galaxy Note FE ร่างใหม่ของ Note 7 กล้องดี มีปากกา สแกนนิ้วด้านหน้า ราคาดี

รีวิว Galaxy Note FE ร่างใหม่ของ Note 7 กล้องดี มีปากกา สแกนนิ้วด้านหน้า ราคาดี

19 พฤศจิกายน 2017
5   0

ปกติแล้วสมาร์ทโฟนเรือธงในแต่ละปี มักถูกปรับลดราคาลงในปีต่อมา เพื่อใช้ดึงดูดลูกค้าที่อยากได้สินค้าสเปกดีในราคาไม่แพงจนเกินไป แต่ปัญหาของ Galaxy Note 7 เมื่อปีที่แล้ว ทำให้สายผลิตภัณฑ์ของ Galaxy Note เกิดช่องโหว่ขึ้นมา และเมื่อ Galaxy Note 8 เปิดตัวด้วยราคาค่อนข้างแพงที่ 33,900 บาท ทำให้ผู้ที่อยากได้ Note รุ่นรองที่ราคาถูกลงมา ไม่มีตัวเลือกอื่นเลย

ช่องโหว่นี้ถูกปิดด้วย Galaxy Note FE (Fan Edition) หรือ Galaxy Note 7 ในร่างใหม่ และการตั้งราคา 20,900 บาท ถูกกว่า Note 8 ถึงหมื่นกว่าบาท ย่อมทำให้มันน่าสนใจขึ้นมาทันที ในฐานะมือถือมีปากกา ที่สเปกดีพอสมควร และราคาเอื้อมถึงได้มากกว่า

alt="Galaxy Note FE"

สเปก: มันก็คือ Note 7 เปลี่ยนแบตเป็นล็อตใหม่

ต้องบอกว่า Galaxy Note FE ก็คือ Galaxy Note 7 เกือบ 100% เพราะใช้ชิ้นส่วนเดิมของ Galaxy Note 7 เกือบทั้งหมด จะมีแค่แบตเตอรี่ที่เปลี่ยนล็อตใหม่ ลดความจุลงเล็กน้อย (จาก 35000mAh เหลือ 3200mAh) ควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มข้น

สเปกของ Galaxy Note FE จึงเหมือนกับสเปกของ Galaxy Note 7 แทบทั้งหมด

  • หน้าจอ Super AMOLED 5.7" 2560x1440 (Quad HD) ขอบโค้ง
  • ซีพียู 8 คอร์ 2.3GHz+1.6GHz
  • แรม 4GB, สตอเรจ 64GB เพิ่ม microSD ได้
  • กล้องหลัง 12MP OIS, กล้องหน้า 5MP
  • ชาร์จไฟด้วยพอร์ต USB-C, ยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
  • ปากกาแรงกด 4096 ระดับ (เท่ากับ Note 8)
  • ระบบสแกนม่านตา
  • กันน้ำกันฝุ่น IP68 แถมใช้ปากกาเขียนใต้น้ำได้

รูปลักษณ์ภายนอก: มันก็คือ Note 7

ต้องบอกว่า Galaxy Note FE ใช้โครงสร้างภายนอกแทบจะเหมือนกับ Galaxy Note 7 ทั้งหมด เพียงแค่เพิ่มลายสกรีนด้านหลังเป็นคำว่า Galaxy Note Fan Edition เข้ามาให้เห็นชัดๆ เท่านั้น

ขนาดของตัวเครื่องเมื่อเทียบกับ Note 8 จะเห็นว่าความกว้างใกล้เคียงกัน แต่ความยาวของ Note 8 ยาวกว่ามาก (5.7" vs 6" เมื่อเทียบแนวแทยง) ในแง่ของการหยิบจับ Note FE ก็ใช้งานเหมาะมือกว่า โดยต้องแลกมาด้วยขนาดหน้าจอที่เล็กกว่า

นอกจากขนาดแล้ว สิ่งที่แตกต่างได้อย่างชัดเจนคือน้ำหนัก เพราะ Note FE เบากว่า Note 8 อยู่พอสมควร (167 กรัม vs 195 กรัม) สำหรับคนที่ชอบมือถือน้ำหนักเบาๆ Note FE ย่อมเหมาะมือมากกว่า

alt="Galaxy Note FE vs Note 8"

อีกจุดที่ต่างไปในแง่รูปลักษณ์คือ Note FE มีให้เลือกเพียงสองสีคือ ดำ Black Onyx และฟ้า Blue Coral (รุ่นที่ได้มารีวิวเป็นสีฟ้า) ในขณะที่สีเงิน Silver Titanium และ ทอง Gold Platinum ของ Galaxy Note 7 ถูกตัดออกไป ไม่นำมาขายด้วย

วัสดุและสีของ Note FE จะออกเมทัลลิค เป็นเงามากกว่า สะท้อนแสงกว่า Note 8

alt="Galaxy Note FE vs Note 8"

ข้างใต้เครื่อง จุดสังเกตความแตกต่างของ Note FE กับ Note 8 มีเพียงตะแกรงไมโครโฟนที่ใช้ดีไซน์ต่างกันเท่านั้น

alt="Galaxy Note FE vs Note 8"

ปุ่มโฮมด้านหน้า สแกนนิ้วด้านหน้า

แนวทางการออกแบบของ Galaxy Note FE ใช้ดีไซน์ที่ซัมซุงใช้มาตลอดในช่วงปี 2015-2016 (ตั้งแต่ S6 จนถึง Note 7) เมื่อมาเปรียบเทียบกับมือถือในปี 2017 ที่ใช้ดีไซน์จอไร้ขอบอย่าง S8/Note 8 อาจดูล้าสมัยไปบ้าง เพราะยังมีขอบจอบน-ล่างให้เห็น และมีปุ่มโฮมเหมือนเดิม (เป็นเรือธงตัวสุดท้ายที่มีปุ่มโฮม)

แต่ปุ่มโฮมอันนี้กลับมีข้อดีที่เหนือกว่ามือถือปี 2017 (แม้จะไม่ตั้งใจ) ตรงที่มันสแกนนิ้วได้สะดวกกว่ามาก จากการลองใช้มือถือจอไร้ขอบไร้ปุ่มโฮม พบว่าหลายสถานการณ์ไม่สามารถปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้า-นัยน์ตาได้ง่ายนัก เช่น เราเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่อยู่ไกลตัว และต่อให้มีตัวสแกนนิ้วที่ด้านหลังเครื่อง ก็ไม่สะดวกเท่าการสแกนนิ้วด้านหน้าอยู่ดี

ปุ่มโฮมที่สแกนนิ้วได้ จึงกลายเป็นฟีเจอร์เด่นของ Galaxy Note FE ไปในทันที

alt="Galaxy Note FE"

ปากกา S Pen แรงกด 4096 ระดับ

ต้องบอกว่าในแง่ฮาร์ดแวร์แล้ว ปากกา S Pen ของ Galaxy Note FE แทบจะเหมือนกับปากกาของ Galaxy Note 8 ทุกอย่าง (อยากจะบอกว่าเป็นตัวเดียวกันเลยแต่ก็ไม่กล้าฟันธง) เป็นปากกาหัวเล็ก รองรับแรงกด 4096 ระดับ เขียนได้แม้จอเปียกหรืออยู่ใต้น้ำ

alt="Galaxy Note FE vs Note 8"

จากการลองเขียนหน้าจอ Note FE ด้วยปากกาของ Note FE เทียบกับปากกา Note 8 ก็ไม่พบความแตกต่างใดๆ เส้นเล็กสวยเหมือนกัน

alt="Galaxy Note FE vs Note 8"

ฟีเจอร์ฝั่งซอฟต์แวร์ปากกาก็มีเหมือนกันทั้งหมด ตั้งแต่ Samsung Notes, Smart Select, Screen Write, Translate, Magnify, Glance จะมีแค่ฟีเจอร์ส่งข้อความฟรุ้งฟริ้ง Live Message ที่สงวนไว้เป็นจุดขายของ Note 8 เท่านั้น

ซ้าย: Note FE, ขวา: Note 8

alt="Screenshot_20171118-231647"

ตัวแอพ Samsung Notes ที่เป็นแอพจดโน้ตหลักของระบบ ก็มีเวอร์ชันต่างกันอยู่บ้าง โดย Note FE ได้เป็นเวอร์ชัน 1.5 ในขณะที่ Note 8 ใช้เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งใหม่กว่า มีความสามารถมากกว่ากันเล็กน้อยในแง่ตัวเลือกยิบย่อยต่างๆ แต่ภาพรวมของการใช้งานแทบไม่ต่างกัน

alt="Screenshot_20171118-225912"

alt="Screenshot_20171118-225703"

ซอฟต์แวร์: ปรับปรุงจาก Note 7 แต่ยังไม่ใหม่ที่สุด

ห่างหายไปหนึ่งปี จะให้ Note FE ใช้ซอฟต์แวร์ตัวเดียวกับ Note 7 (ที่เป็น Android 6.0) ก็ใช้ที่ ซัมซุงจึงอัพเดตให้เป็น Android 7.0 Nougat และใช้เวอร์ชันรอม Samsung Experience (ชื่อใหม่ของ Touchwiz) 8.1 มาให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก

alt="Note FE Software"

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่ารอมของ Note FE ยังไม่ใช่ซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด เพราะมือถือเรือธงอย่าง Note 8 ใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่กว่า พัฒนาอยู่บน Android 7.1 และใช้เวอร์ชันรอม Samsung Experience เป็นเวอร์ชัน 8.5 ที่หน้าตาต่างออกไปบ้างในรายละเอียดยิบย่อย (หน้าตาโดยรวมเหมือนกัน ใช้ชุดไอคอนแบบใหม่ที่เริ่มตอน S8)

alt="Note FE Software"

ฟีเจอร์อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Note FE ให้ Bixby มาด้วย แต่มาเฉพาะส่วน Bixby Home ที่แสดงฟีดข่าวบนหน้าโฮมสกรีนอันซ้ายมือสุดเท่านั้น ไม่มีฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียงหรือกล้องของ Bixby เช่นเดียวกับ S8/Note 8

alt="bixby"

จะเห็นว่าเวอร์ชันของ Bixby ต่างกัน และของ Note FE มีเฉพาะ Bixby Home ไม่มี Bixby Voice เหมือนใน Note 8

alt="Screenshot_20171118-231000"

ตรงนี้เป็นเรื่องน่าสนใจว่า ในอนาคตการอัพเดตของ Note FE จะเป็นอย่างไร เพราะ Note 7 มีสถานะเป็น "เรือธง" (ที่สุดท้ายไม่ได้วางขายในวงกว้าง) แต่ Note FE เริ่มต้นด้วยสถานะ "เรือธงตัวรอง" ที่อาจมีนโยบายการอัพเดตซอฟต์แวร์แตกต่างออกไปจากเรือธงรุ่นหลัก

ปกติแล้ว ซัมซุงมีนโยบายอัพเดตระบบปฏิบัติการให้ 2 เวอร์ชันใหญ่ แต่กรณีของ Note FE เราจะมองว่าอัพเดตเป็น Nouget ไปแล้วรอบหนึ่ง แล้วจะเหลือรอบของ Oreo เพียงรอบเดียวหรือไม่ หรือว่าจะได้ไปต่อถึง Android P เลย ก็เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกันต่อไป

กล้องคุณภาพระดับเรือธงปี 2016

เดิมทีกล้องของ Note 7 ก็มีคุณภาพระดับเรือธงช่วงปลายปี 2016 อยู่แล้ว ถึงแม้กล้องจะตกรุ่นไป 1 รอบปี ไม่มีฟีเจอร์หวือหวาอย่างกล้องคู่หลังละลาย แต่ในแง่คุณภาพก็ยังถือว่าดีเยี่ยมอยู่ การใช้งานถือว่าน่าประทับใจทั้งกลางวันและกลางคืน

ภาพทั้งหมดถ่ายด้วยโหมด Auto ที่ความละเอียด 4032x3024 ซึ่งเป็นความละเอียดสูงสุดของเครื่อง (เนทีฟที่สัดส่วน 4:3) ภาพอาจโดนบีบอัดจาก Google Photos

alt="Note FE Camera"

alt="Note FE Camera"

alt="Note FE Camera"

alt="Note FE Camera"

เนื่องจากมีโอกาสทดสอบทั้ง Note FE และ Note 8 เลยเปรียบเทียบคุณภาพของกล้องในช็อตเดียวกันด้วยเลย เน้นเฉพาะถ่ายกลางคืนเป็นหลักนะครับ ทุกภาพถ่ายด้วยโหมด Auto และอาจถูกบีบอัดด้วย Google Photos

ในสภาพที่มีแสงจากหลอดไฟอยู่พอสมควร แทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างกล้อง Note FE และ Note 8 ถือว่าทำผลงานได้ดีทั้งคู่

alt="compare1"

ซีนงานแต่งงานตอนกลางคืน ผลงานก็ออกมาดีทัดเทียมกัน

alt="compare2"

ลองถ่ายในสภาพแสงที่น้อยลงไปอีก วังบางขุนพรหมตอนกลางคืน ที่มีไฟส่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะเห็นว่ากล้องของ Note 8 ทำงานได้ดีกว่าหน่อย สังเกตจากพุ่มไม้ที่มุมขวาล่าง ซึ่งเป็นจุดที่ไฟส่องไม่ถึง กล้องของ Note 8 เก็บภาพได้ดีกว่า Note FE (แต่ก็ถือว่า Note FE ทำผลงานได้ดีมากแล้วเช่นกัน)

alt="compare3"

ลองคร็อปภาพที่ 100% มาดูความแตกต่าง (ภาพในเว็บถูกย่อ 50% กดดูภาพเต็มได้ใน Flickr) จะเห็นว่ากล้องของ Note FE (บน) เก็บรายละเอียดสู้ Note 8 (ล่าง) ยังไม่ได้ในบางจุด เช่น ตรงลายที่ขอบหน้าต่างจะเห็นได้ชัดเจน

alt="zoom-fe"

alt="zoom-8"

ในภาพรวมแล้วก็ต้องบอกว่ากล้องของ Note FE ทำงานได้ดีมาก จะมีแพ้ Note 8 ที่ใหม่กว่ากัน 1 ปีก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แถมยังแพ้เฉพาะในช็อตยากๆ ที่ไม่ได้ถ่ายกันบ่อยๆ ด้วย

สรุป: มือถือมีปากกา ความสามารถเพียบพร้อม ราคาคุ้มค่า

Galaxy Note Fan Edition ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจมาก สำหรับผู้ใช้ Galaxy Note รุ่นก่อนๆ (อย่าง Note 4 หรือ Note 5) ที่ต้องการอัพเกรดมือถือใหม่ แต่คิดว่าราคาของ Note 8 แรงเกินไป

ในราคาสองหมื่นต้น Galaxy Note FE เพียบพร้อมทั้งในแง่ดีไซน์ สเปก ฟีเจอร์ มีฮาร์ดแวร์ปากกาที่ทัดเทียม Note 8 มีกล้องที่ดีมาก และมีจุดเด่นเหนือกว่า (สำหรับบางคน) ตรงที่เครื่องเล็กกว่า น้ำหนักเบากว่า และกดสแกนลายนิ้วมือด้านหน้าได้สะดวกกว่า

ราคาที่แตกต่างกันเป็นหลักหมื่น การได้มือถือที่เก่ากว่ากันหน่อย เซ็กซี่น้อยกว่าหน่อย แต่ยังตอบโจทย์การใช้งานได้พร้อมสรรพ จึงถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว สุดท้ายก็คงขึ้นกับผู้ซื้อว่าจะเลือกทางไหนระหว่างเรือธงตัวท็อปสุด หรือเรือธงปีก่อนหน้าที่ราคาย่อมเยาลงมา

[source: https://www.blognone.com/node/97387]